เลขนัยสำคัญ (significant figure)

ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การบันทึกผลหรือการรายงานผลการทดลอง เพื่อบอกปริมาณหรือจำนวนที่เป็นตัวเลข ตัวเลขทุกตัวต้องแสดงถึงความเที่ยงตรงของปริมาณที่วัดหรือคำนวณได้ และที่สำคัญคือ ผู้ทำการทดลองสามารถอธิบายได้ถึงที่มาของตัวเลขเหล่านั้น ตัวเลขดังกล่าวเรียกว่า เลขนัยสำคัญ (significant figure) โดยเลขนัยสำคัญ ประกอบด้วย ตัวเลขทุกตัวที่แน่นอน (certainty) และตัวเลขที่ไม่แน่นอน (uncertainty) อีก 1 ตัว

ตัวเลขที่แน่นอน (certainty) หมายถึง ตัวเลขที่แสดงโดยเครื่องมือวัด ซึ่งจะเป็นเลขอื่นไม่ได้ เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ไม่มีความคลาดเคลื่อน ตัวเลขที่แน่นอนนี้มักจะขึ้นอยู่กับความละเอียด (Least count) ของเครื่องมือวัด หรือชนิดของเครื่องมือวัด

ตัวเลขที่ไม่แน่นอน (uncertainty) หรือ ตัวเลขที่มีความคลาดเคลื่อน (error) หมายถึง ตัวเลขที่เกิดจากการคาดคะเนหรือการประมาณ หรืออาจเป็นตัวเลขหลักสุดท้ายบนจอแสดงผลของเครื่องมือวัด อย่างไรก็ตาม ผู้ทดลองควรศึกษาคู่มือการใช้เครื่องมือให้ละเอียด เพื่อให้เข้าใจว่าความคลาดเคลื่อนที่ได้จากจอแสดงผลเกิดขึ้นที่ตัวเลขหลักใดกันแน่

ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้ไม้บรรทัดที่มีช่องสเกลเล็กสุด 1 มม. วัดความยาวได้ 114.8 มม. ตัวเลข 3 หลักแรก (1, 1, 4) เป็นตัวเลขที่แน่นอน และมีนัยสำคัญเรียงจากมากไปน้อยตามลำดับ สำหรับเลข 8 (0.8 มม.) เป็นตัวเลขที่ไม่แน่นอน ได้มาจากการประมาณโดยแบ่งขนาดช่องเล็กสุดของสเกลออกเป็น 10 ช่อง หมายความว่าในความเป็นจริง ความยาวอาจเป็น 114.7 มม. หรือ 114.9 มม. ก็ได้ ดังนั้น ผลการวัดความยาวนี้จึงเท่ากับ 114.8 มม. ซึ่งมีเลขนัยสำคัญ 4 ตัว (ตัวเลขสีแดง คือตัวเลขที่มีความไม่แน่นอน)

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ สมมุติว่าวัดปริมาตรได้ 2.98 ± 0.05 ลิตร (ความคลาดเคลื่อนที่ระบุอาจได้มาจากเครื่องมือ) หมายความว่าปริมาตรจริงอยู่ระหว่าง 2.93 ลิตร – 3.03 ลิตร ในกรณีนี้ปริมาตรจริงอาจเป็น 2.92 ลิตร หรือ 3.01 ลิตร ก็ได้ แม้ว่าตัวเลขทั้งหมดดูเหมือนจะไม่แน่นอน (เพราะไม่เหมือนกันเลยสักตัว) แต่ก็นับว่าตัวเลขทั้ง 3 มีนัยสำคัญ เนื่องจากมีเหตุผลสำคัญที่เชื่อถือได้ (มีการระบุค่าความคลาดเคลื่อน) ดังนั้น ในตัวอย่างนี้ จึงมีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว คือ 2.98 ลิตร


การนับเลขนัยสำคัญ


การคำนวณเลขนัยสำคัญ

เลขนัยสำคัญที่ได้มาจากการวัด โดยใช้เครื่องมือประเภทต่าง ๆ นั้นมีหลักการที่ชัดเจนในการบันทึกผล แต่สำหรับการคำนวณตัวเลขที่มีความคลาดเคลื่อน วิธีที่เหมาะสมที่สุดคือ การคำนวณการแพร่กระจายของความคลาดเคลื่อน (Propagation of errors) ซึ่งมีหลักเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ ที่อธิบายได้ชัดเจน

สำหรับหัวข้อนี้ จะกล่าวถึงแนวทาง (ไม่ใช่กฏ) ในการกำหนดตัวเลขนัยสำคัญที่มาจากการคำนวณปริมาณที่มาจากการวัด แนวทางนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหลีกเลี่ยงผลการคำนวณที่แม่นยำเกินกว่าปริมาณที่วัดได้ แต่ไม่รับประกันว่า ผลลัพธ์จะใกล้เคียงกับความไม่แน่นอน หากวัดปริมาณนั้นได้

การบวก/ลบ

ผลลัพธ์ที่คำนวณได้ ควรมีเลขนัยสำคัญตัวสุดท้ายตรงกับตัวตั้ง ที่มีทศนิยมน้อยที่สุด

ตัวอย่าง การเรโซแนนซ์ของคลื่นเสียงในท่อครั้งแรก เกิดที่ระยะ L1 = 9.5 cm ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นที่ระยะ L3 = 28.8 cm จงหาความยาวคลื่นเสียง

\[ \lambda=2(L_3-L_1)=2(28.{\color{Red}8}-9.{\color{Red}5})=38.{\color{Red}6}\;\text{cm} \]
การคูณ/หาร

ผลลัพธ์ที่คำนวณได้ ควรมีจำนวนตัวเลขที่มีนัยสำคัญ เท่ากับจำนวนตัวเลขนัยสำคัญที่น้อยที่สุดในบรรดาปริมาณที่วัดได้ ซึ่งใช้ในการคำนวณ

ตัวอย่าง จงหาอัตราเร็วเฉลี่ยของรถที่เคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง โดยวัดระยะทางได้ 30.0 cm และจับเวลาได้ 2.380 s

\[ \bar{v}=\frac{s}{t}=\frac{30.{\color{Red}0}}{2.38{\color{Red}0}}=12.{\color{Red}6}\;\text{cm/s} \]
การหาค่าเฉลี่ย

ในการวัดปริมาณ x เป็นจำนวน N ครั้ง ค่าเฉลี่ยของปริมาณ x หาได้จาก

\[ \bar{x}=\frac{1}{N}\sum_{i=1}^{N}(x_i) \]

เลขนัยสำคัญของค่าเฉลี่ยย่อมขึ้นอยู่กับความคลาดเคลื่อนของค่าเฉลี่ย นั่นหมายความว่าต้องพิจารณาค่าความคลาดเคลื่อนสุ่มของข้อมูล แต่ถ้าหากต้องการแค่เลขนัยสำคัญของค่าเฉลี่ยเท่านั้น สามารถพิจารณาเลขนัยสำคัญของค่าเฉลี่ยได้จาก ส่วนเบี่ยงเบนสูงสุด (maximum deviation) หรือใช้ ความคลาดเคลื่อนสูงสุดของค่าเฉลี่ย(ΔXmax) ก็ได้ ซึ่งให้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตาม การคำนวณค่าความคลาดเคลื่อนสูงสุดของค่าเฉลี่ย ใช้ได้ในกรณีที่ผลการวัดไม่แตกต่างกันมากนัก สำหรับค่าที่วัดได้แตกต่างจากค่าส่วนใหญ่มาก ๆ จะไม่นำมาพิจารณา แต่อย่างไรก็ตามค่าดังกล่าวยังจำเป็นต้องบันทึกไว้ เพื่อประกอบการพิจารณาหาสาเหตุ ที่ทำให้ได้ผลการวัดที่ต่างจากค่าส่วนใหญ่มาก ๆ

ตัวอย่าง จงหาค่าเฉลี่ยของผลการวัดต่อไปนี้ 13.010 g, 11.940 g, 12.070 g, 12.050 g, 12.010 g

วิธีคิด ไม่พิจารณาค่าที่วัดได้ 13.010 g เนื่องจากเป็นค่าที่แตกต่างจากค่าส่วนใหญ่ค่อนข้างมาก ดังนั้นค่าเฉลี่ยและความคลาดเคลื่อนสูงสุดของค่าเฉลี่ย(ΔXmax) หาได้จาก

\[ \bar{x}=\frac{11.940+12.070+12.050+12.010}{4}=12.0175\;\text{g} \] \[ \Delta\bar{x}=\frac{\left|x_{max}-x_{min}\right|}{2}=\frac{\left|12.050-11.940\right|}{2}=0.055\;\text{g} \]

ดังนั้น ค่าเฉลี่ย ตามหลักนัยสำคัญ คือ 12.02 g ซึ่งมีเลขนัยสำคัญ 4 ตัว

การพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนสูงสุดก็ให้ผลที่ไม่ต่างกัน เนื่องจาก

  • d1 = |11.940 - 12.0175| = 0.0775 g
  • d2 = |12.070 - 12.0175| = 0.0525 g
  • d3 = |12.050 - 12.0175| = 0.0325 g
  • d4 = |12.010 - 12.0175| = 0.0075 g

maximum deviation = 0.0775 g

ดังนั้น ค่าเฉลี่ย ตามหลักนัยสำคัญ คือ 12.02 g ซึ่งมีเลขนัยสำคัญ 4 ตัว

ลอการิทึม

ผลลัพธ์ของลอการิทึมฐานสิบของตัวเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ มีเลขนัยสำคัญของ mantissa (ตัวเลขหลังจุดทศนิยมของค่า log) เท่ากับจำนวนเลขนัยสำคัญของตัวเลขเริ่มต้น

ตัวอย่าง

log (3.45 x 102 ) = 2.537819 = 2.538

3.45 x 102 (มีนัยสำคัญ 3 ตัว) ผลลัพธ์ของ log (3.45 x 102) = 2.538 (mantissa มีนัยสำคัญ 3 ตัว)

ตัวอย่าง (สำหรับ anti-loggarithm)

102.538 = 345.14374 = 345

2.538 (mantissa มีนัยสำคัญ 3 ตัว) ผลลัพธ์ของ anti-log(2.538) = 345 (มีนัยสำคัญ 3 ตัว)


การเปรียบเทียบ เลขนัยสำคัญ 2 ปริมาณ

ในการทดลองเพื่อศึกษาหลักการหรือทฤษฎี หรือทดลองเพื่อหาปริมาณบางอย่าง เรามักเปรียบเทียบผลการทดลองกับผลการคำนวน และในหลายครั้งก็มีการเปรียบเทียบผลการทดลองกับผลการทดลองด้วยกันเอง เพื่ออธิบายถึงความสมเหตุสมผลของการทดลอง กับหลักการที่ใช้ในการอธิบายการทดลองนั้น ๆ เช่นในการทดลองเพื่อศึกษาหลักการอนุรักษ์โมเมนตัม เราต้องเปรียบเทียบโมเมนตัมก่อน และหลัง หรือการทดลองเพื่อหาความเร่งที่เราอาจทำนายผลล่วงหน้าโดยการคำนวนทางทฤษฎี แล้วเปรียบเทียบกับผลการทดลองหาความเร่ง ว่าได้คำตอบที่ตรงกันหรือไม่ เป็นต้น

ตัวอย่าง 1 ผลการทดลองวัดโมเมนตัมเชิงเส้นก่อนชนได้ 10.12 kg m/s วัดโมเมนตัมเชิงเส้นหลังชนได้ 10.3 kg m/s จากการทดลองนี้ โมเมนตัมเชิงเส้นอนุรักษ์ หรือไม่ เพราะเหตุใด

เราสามารพิจารณาเฉพาะตัวเลขนัยสำคัญ 2 อันดับแรก ซึ่งเป็นตัวเลขที่แน่นอน (10 kg m/s= 10 kg m/s) แล้วสรุปได้เลยว่าโมเมนตัมเชิงเส้น ในกรณีการชนนี้ เป็นไปตามหลักการอนุรักษ์โมเมนตัม เนื่องจากตัวเลขนัยสำคัญลำดับที่ 3 ของกรณีหลังชน เป็นตัวเลขที่มีความไม่แน่นอน


ตัวอย่าง 2 การทดลองเพื่อหาอัตราเร่งของการเคลื่อนที่บนพื้นระดับ ได้ aทดลอง = 10.12 m/s2 แต่ผลการคำนวณทางทฤษฎีได้ aคำนวณ = 10.235 m/s2 ผลการทดลองนี้มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะเหตุใด

ก่อนอื่นพิจารณาว่าอัตราเร่งที่ได้จากการทดลองกับผลคำนวณ เท่ากันหรือไม่ ดังตัวอย่างที่ 1 ให้พิจารณาเลขนัยสำคัญส่วนที่เป็นตัวเลขที่มีความแน่นอน นั่นคือ เลขนัยสำคัญ 3 ลำดับแรก ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า 10.1 m/s2 ≠ 10.2 m/s2 ดังนั้น อัตราเร่งที่ได้จากการทดลอง ไม่เท่ากับผลการคำนวณ

การทดลองนี้ มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ ถ้าการคำนวณไม่คำนึงถึงแรงต้านของการเคลื่อนที่ ก็ถือว่าผลการทดลองนี้มีความสมเหตุสมผล เนื่องจากแรงต้านอาจทำให้อัตราเร่งที่ได้จากการทดลองน้อยกว่าผลจากการคำนวณ