ความไม่แน่นอน (uncertainty) หรือความคลาดเคลื่อน (error) ในการวัด ไม่ใช่ความผิดพลาดในการวัด การอ่านค่าผิด การวัดผิดวิธี หรือความสะเพร่าของผู้ทำการวัด ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึง เนื่องจากไม่มีเหตุผลในการอธิบายสิ่งเหล่านั้น ความจริงคือสิ่งเหล่านั้นไม่ควรเกิดขึ้นเลยต่างหาก (สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อผู้ทำการทดลองมีความรู้ความเข้าใจ) ในหัวข้อนี้จะอธิบายถึงความคลาดเคลื่อนซึ่งเกิดจากขีดจำกัดของผู้วัด ขีดจำกัดของเครื่องมือ การติดตั้งอุปกรณ์ และความคลาดเคลื่อนที่ไม่ทราบสาเหตุ โดยแบ่งสาเหตุของความคลาดเคลื่อนได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
โดยความคลาดเคลื่อนทั้ง 3 ประเภทนี้จะเกิดขึ้นเสมอ แต่หากเข้าใจถึงสาเหตุการเกิดความคลาดเคลื่อนเหล่านี้แล้ว ย่อมมีวิธีทำให้ความคลาดเคลื่อนลดลงได้
ความคลาดเคลื่อนประเภทนี้ เกิดจากขีดจำกัดในการอ่านค่า อาจเกิดจากการประมาณโดยสายตา หรือเกิดจากข้อจำกัดของเครื่องมือ ความคลาดเคลื่อนประเภทนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อทำการวัด แต่สามารถลดความคลาดเคลื่อนประเภทนี้ได้ โดยเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีความละเอียดในการวัดมากขึ้น หรือลดอัตราส่วนของความคลาดเคลื่อนโดยการเพิ่มขนาดของสิ่งที่วัดหากสามารถทำได้
หากผู้วัดมีความมั่นใจว่า สกรูมีความยาว มากกว่า 5.0 cm แต่ไม่ถึง 5.1 cm
ความยาวที่วัดได้ควรเป็นแต่ไม่ควรเป็น 5.05±0.05 cm เพราะนั่นหมายถึงความยาวตั้งแต่ 5.00 cm - 5.10 cm ซึ่งดูเหมือนจะขัดแย้งกับความมั่นใจว่า สกรูมีความยาว มากกว่า 5.0 cm แต่ไม่ถึง 5.1 cm แต่การรายงานความยาวเป็น 5.05±0.05 cm ก็ไม่ผิด เพียงแต่มีความคลาดเคลื่อนสูง กลับกันการรายงานความยาวที่คลาดเคลื่อนต่ำเกินไป เช่น 5.05±0.01 cm อาจไม่เป็นผลดี เพราะหากมีความคลาดเคลื่อนเชิงระบบเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ผลการวัดที่มีความคลาดเคลื่อนต่ำเกินไปผิดพลาดได้
ผลการชั่งมวล ด้วยตาชั่งที่มีช่องสเกลเล็กสุด 0.1 g ผู้วัดต้องประมาณตัวเลขที่ไม่แน่นอนในตำแหน่งทศนิยมตำแหน่งที่ 2 ในหน่วย g
ค่าความคลาดเคลื่อนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการประมาณของผู้วัด ซึ่งในตัวอย่างนี้ ผู้วัดยืนยันว่าค่ามวลที่วัดได้อยู่ในช่วง 24.71 g - 24.75 g
กรณีการวัดที่วัตถุไม่ได้อยู่ติดกับขีดสเกล การประมาณในตำแหน่งที่เล็กกว่าขีดสเกลอาจทำได้ยาก ความไม่แน่นอนในการวัดอาจเกิดในตำแหน่งสเกลเล็กของเครื่องมือวัด เช่นในตัวอย่างนี้ วัดตำแหน่งปลายสปริงได้ 3.9±0.2 cm นั่นหมายความว่าผู้วัด มีความมั่นใจว่า ตำแหน่งปลายสปริงอยู่ในช่วงตำแหน่ง 3.7 cm - 4.1 cm อย่างแน่นอน
ความคลาดเคลื่อนในการวัดจะมีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามย่านการวัดต่างๆ จำเป็นต้องศึกษาคู่มือการใช้งานสำหรับเครื่องมือแต่ละรุ่น
สำหรับการวัดความต้านทานโดยใช้มัลติมิเตอร์ peaktech 2005 ในการคำนวณความคลาดเคลื่อนของการวัดความต้านทาน เราต้องพิจารณาความแม่นยำ (accuracy) ตามย่านการวัด (range) ที่กำหนดไว้ในตาราง โดย
ความคลาดเคลื่อนประเภทนี้เกิดจากหลายสาเหตุ อาจเกิดจากตัวเครื่องมือวัดเอง หรือเกิดจากการติดตั้งอุปกรณ์การทดลองที่ไม่เป็นไปตามหลักการทดลอง ความคลาดเคลื่อนประเภทนี้มักมีรูปแบบที่ชัดเจน เช่นเครื่องมือที่ศูนย์ไม่ตรง มักจะแสดงผลการวัดในทิศทางที่มากกว่าหรือน้อยกว่าค่าจริงในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเสมอ ไม่สามารถลดความคลาดเคลื่อนประเภทนี้ได้เมื่อทำการวัดซ้ำหลาย ๆ ครั้ง วิธีแก้ปัญหาคือต้องแก้ที่ต้นเหตุ ถ้าเกิดจากเครื่องมืออาจแก้โดยการเทียบมาตรฐานเครื่องมือก่อนทำการวัด (Calibration) หากเกิดจากการติดตั้งอุปกรณ์ไม่เป็นไปตามหลักการ ต้องแก้ปัญหาที่ตรงนั้น เช่น หากทำการทดลองบนพื้นระดับต้องตรวจสอบระดับให้ถูกต้องเสียก่อน
ความคลาดเคลื่อนประเภทนี้ เป็นความคลาดเคลื่อนที่ไม่รู้สาเหตุ ไม่มีรูปแบบ คาดเดาไม่ได้ เช่น ในการวัดคาบการแกว่งของลูกตุ้ม เราอาจวัดคาบได้ไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง และไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ในการวัดครั้งถัดไป จะวัดค่าได้มากกว่า หรือน้อยกว่าค่าก่อนหน้านั้น เมื่อเราทำการวัดซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ค่าที่เป็นตัวแทนของการวัด คือ ค่าเฉลี่ย (Average หรือ Mean) ส่วนค่าที่บอกการกระจายตัวของค่าที่วัดได้ ว่าห่างจากค่าเฉลี่ยมากหรือน้อย คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation, SD) ถ้าจำนวนครั้งในการวัดมากพอที่จะสรุปได้ว่า เป็นการแจกแจงแบบปกติ (Normal Distribution) สามารถคำนวณความคลาดเคลื่อนสุ่มได้จากส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) หารด้วยรากที่สองของจำนวนครั้งที่วัด (Sample Size - N)
ความคลาดเคลื่อนนี้ เรียกสั้น ๆ ว่า "Standard error : SE" ชื่อเต็มคือ ความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard Error of the Mean - SEM) เป็นการวัดค่าความไม่แน่นอนของค่าเฉลี่ย
สมมุติวัดเวลา 5 ครั้ง โดยได้ค่าดังนี้ 10.64, 11.52. 10.90, 11.42, 10.68 วินาที
ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย คือ การวัดการกระจายตัวของข้อมูลโดยใช้ค่าความแตกต่างสัมบูรณ์ระหว่างแต่ละค่าข้อมูลและค่าเฉลี่ย วิธีการนี้เหมาะกับการใช้ประมาณความคลาดเคลื่อนของข้อมูลที่มีการวัดซ้ำน้อยครั้ง จนไม่สามารถบอกได้ว่าข้อมูลที่วัดมีการแจกแจงแบบปกติหรือไม่
สมมุติวัดเวลา 5 ครั้ง โดยได้ค่าดังนี้ 10.64, 11.52. 10.90, 11.42, 10.68 วินาที
ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย(Mean Deviation) เป็นการวัดความแปรปรวนที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะชุดข้อมูลขนาดเล็กและการแจกแจงที่ไม่ปกติ โดยให้วิธีที่ตรงไปตรงมาในการทำความเข้าใจการกระจายตัวของจุดข้อมูลรอบๆ ค่าเฉลี่ย